The average rating for Twentieth century political philosophy based on 2 reviews is 2.5 stars.
Review # 1 was written on 2018-10-17 00:00:00 Samuel Gamble اَتول زُول سعی میکند به ایجاز، علاوه بر فلسفهی سیاسی، به تاریخنگاری اندیشه از اواخر قرن نوزدهم تا زمان تألیف کتاب، دههی هفتاد میلادی، بپردازد. مشکل کتاب اولا بهروز نبودن و ثانیا ترجمهی نه چندان روانش است |
Review # 2 was written on 2015-09-27 00:00:00 Joseph Wiecken 507614 "ในขณะที่มานุษยวิทยาแบบของเราเสนอว่า มนุษย์มีเนื้อแท้โดยกำเนิดเป็นสัตว์ ที่จำต้องอาศัยวัฒนธรรมควบคุมไว้ - เพราะหากเรายังคงความเป็นสัตว์ไว้อย่างครบถ้วน เราก็ยังคงเป็นสัตว์ที่อยู่เบื้องล่าง - ความคิดของชาวอเมริกันอินเดียกลับเห็นว่า สัตว์นั้นเคยเป็นมนุษย์ และยังจำต้องเป็นมนุษย์อยู่ต่อไป แม้ว่าจะไม่เป็นมนุษย์อย่างชัดเจนนัก"- Viveiros de Castro ดีงามมาก ๆ แนะนำเลย โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่ได้สนใจงานแนวมานุษยวิทยาเลย ข้อเสนอหลัก ๆ ของซาห์ลินส์คือชี้ให้เห็นว่า คอนเซปต์เรื่องภาวะธรรมชาติ (State of Nature) ที่เป็นหัวใจของการถกเถียงทางการเมือง ปรัชญา ฯลฯ ในปัจจุบัน เป็นเพียงความเข้าใจโลกแบบคับแคบของชาวตะวันตกซะส่วนมาก การแบ่งแยกธรรมชาติออกจากมนุษย์อย่างเสร็จสรรพ และชี้ว่า มนุษย์ในสภาพธรรมชาตินั้น โหดร้าย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว วุ่นวาย เป็นอนาธิปัตย์ และจำเป็นต้องมีอะไรบางอย่างหรือใครบางคนที่มีอำนาจสูงสุดมาควบคุมนั้น เป็นฐานคิดที่ส่งผ่านต่อ ๆ กันมาจากสังคมกรีก จากธุซิดิดิส ไปสู่ฮอบส์ สู่สังคมอเมริกันที่อ่านฮอบส์และธุซิดิดิสอีกทีนึง การพูดถึงภาวะธรรมชาติจึงเป็นเรื่องไร้สาระในสังคมอื่น ๆ ซาห์ลินส์เสนอว่า เรื่องง่าย ๆ ที่คนที่เชื่อในภาวะธรรมชาติในความหมายนี้ทำเป็นไม่สนใจก็คือ เอาเข้าจริง ภาวะธรรมชาติในที่อื่น ๆ สังคมอื่น ๆ ไม่ได้มีอยู่จริง หรือไม่มีมีรูปแบบเดียวกับโลกตะวันตกเลย ถ้าเราเชื่อว่ามนุษย์ในภาวะธรรมชาติโหดร้ายและเห็นแก่ตัว แล้วเราอธิบายสังคมแบบเครือญาติที่ทุกคนเชื่อมโยงกันในฐานคนเผ่าพันธุ์เดียวกัน ทั้งบนฐานของสายเลือดหรือไม่ เพราะทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าองค์เดียวกัน และจำต้องคอยดูแลกัน และในบางกรณีผูกผันตั้งแต่เกิดจนตาย ได้อย่างไร ทำนองเดียวกับเวลาที่เราพูดถึงมนุษย์เป็นปัจเจกชนที่แยกขาดจากคนอื่น เราอธิบายมนุษย์ที่ชีวิตเชื่อมโยงกันจนความเจ็บป่วยหรือความตายของคนหนึ่งมีผลกระทบต่อคนอื่น ๆ หรือทั้งชุมชนที่เขาอาศัยอยู่ ได้อย่างไร โลกทัศน์ที่ยึดความเป็นมนุษย์แบบตะวันตกเป็นศูนย์กลางจนราวกับประกาศว่า ตัวข้านี่แหละคือเผ่าพันธุ์มนุษย์ (l'espece, c'est moi) เป็นเพียงภาพลวงตาที่ทำให้เรามองไม่เห็นความจริงว่า การทำความเข้าใจโลกและสิ่งที่เราเรียกกันว่า ธรรมชาติ มีรูปแบบมากมาย การแบ่งแยกว่าอะไรเป็นธรรมชาติและอะไรเป็นวัฒนธรรมยังเป็นเรื่องไร้สาระเข้าไปใหญ่ เพราะหลักฐานทางมานุษยวิทยาจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า สังคมอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ท่ามกลางสิ่งที่เราเรียกว่าธรรมชาติ กลับไม่มีคอนเซปต์เรื่องธรรมชาติอยู่เลย ทำนองเดียวกัน เราคิดว่าตัวมนุษย์สูงส่งกว่าสัตว์ หรือพัฒนาขึ้นมาจากสัตว์ เมื่อเข้าสู่สังคมการเมือง แต่เอาเข้าจริง สังคมบางสังคมกลับไม่ได้เห็นสัตว์และมนุษย์แยกจากกัน มิหนำซ้ำ บางที่ยังเห็น สัตว์ต่างหากที่เป็นมนุษย์ มีจิตวิญญาณเหมือนมนุษย์ มี "วัฒนธรรม" เช่นเดียวกับมนุษย์ ในบางกรณีก็เป็นเทพเจ้าที่เหนือกว่ามนุษย์ หรือพูดให้ถึงรากถึงโคนกว่านั้น ในบางสังคม มนุษย์ไม่ได้เห็นว่า สัตว์และกระทั่ง ต้นไม้ เป็นสิ่งที่แตกต่างจากมนุษย์แม้แต่ร่างกายภายนอก สัตว์คือมนุษย์ และดวงวิญญาณของมนุษย์กับสัตว์/ก็แลกเปลี่ยนกันได้ นี่จึงไม่แปลกที่ใครจะเชื่อว่าลูกกลับชาติมาเกิดเป็นจิ้งจกหรือจระเข้ ไม่แปลก สำหรับคนที่ไม่ได้แบ่งแยกวัฒนธรรมออกจากธรรมชาติ และแบ่งแยกมนุษย์ออกจากสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ อย่างเด็ดขาด *โน้ตเพิ่มจากที่คุยกับมิตรสหายสองสามท่าน โปรเจตที่ซาห์ลินส์เสนอคือ การโต้แย้งการเคลมความเป็นสากลของอะไรต่าง ๆ นานา แต่มิตรสหายท่านหนึ่งเสนอว่า มันไม่เคยบอกว่าไม่มีสิ่งที่เป็นสากล เพียงแต่จะวิพากษ์ว่า ถึงที่สุด สิ่งที่อ้างว่าตัวเองเป็นสากลมันคือบนฐานของ Founding Myth บางอย่าง ซึ่งพูดตามภาษาแบบวัฒนธรรมกำหนดก็คือ เป็นแค่วัฒนธรรมแบบหนึ่งและไม่มีทางเป็นสิ่งสากลได้ นี่จึงเป็นเหตุผลให้มันเปิดเรื่องมาด้วยการโจมตีทฤษฏีการเมืองแบบ "ตะวันตก" ที่ตั้งสมมติฐานอยู่ที่ Founding Myth เกี่ยวกับภาวะธรรมชาติของมนุษย์ที่มีหน้าตาแบบหนึ่ง นั่นเอง |
CAN'T FIND WHAT YOU'RE LOOKING FOR? CLICK HERE!!!